1. FTP คือ
FTP ย่อมาจาก File Transfer Protocol คือโปรโตคอลเครือข่ายชนิดหนึ่งถูกนำใช้ในการถ่ายโอนไฟล์ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างการถ่ายโอนไฟล์ระหว่าง ไคลเอนต์ (client) กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นแม่ข่าย
เรียกว่า โฮสติง (hosting) หรือ เซิร์ฟเวอร์ ซึ่งทำให้การถ่ายโอนไฟล์ง่ายและปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ต
การใช้ FTPที่พบบ่อยสุด ก็เช่น
การดาวน์โหลดไฟล์จากอินเทอร์เน็ต ความสามารถในการถ่ายโอนไฟล์ ทำให้ FTP เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนที่สร้างเว็บเพจ ทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ
โดยที่การติดต่อกันทาง FTP เราจะต้องติดต่อกันทาง Port
21 ซึ่งก่อนที่จะเข้าใช้งานได้นั้น
จะต้องเป็นสมาชิกและมีชื่อผู้เข้าใช้ (User) และ
รหัสผู้เข้าใช้ password) ก่อน
และโปรแกรมสำหรับติดต่อกับแม่ข่าย (server) ส่วนมากจะใช้โปรแกรมสำเร็จรูป
เช่นโปรแกรม Filezilla,CuteFTP หรือ WSFTP ในการติดต่อ เป็นต้น
FTP แบ่งเป็น 2ส่วน
1. FTP server เป็นโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องเซิฟเวอร์ ทำหน้าที่ให้บริการ FTP หากมีการเชื่อมต่อจากไคลแอนเข้าไป
2. FTP client เป็นโปรแกรม FTP ที่ถูกติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ user ทั่วๆไป ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยัง FTP server และทำการอัพโหลด, ดาวน์โหลดไฟล์ หรือ จะสั่งแก้ไขชื่อไฟล์, ลบไฟล์ และเคลื่อนย้ายไฟล์ก็ได้เช่นกัน
1. FTP server เป็นโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ที่เครื่องเซิฟเวอร์ ทำหน้าที่ให้บริการ FTP หากมีการเชื่อมต่อจากไคลแอนเข้าไป
2. FTP client เป็นโปรแกรม FTP ที่ถูกติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ user ทั่วๆไป ทำหน้าที่เชื่อมต่อไปยัง FTP server และทำการอัพโหลด, ดาวน์โหลดไฟล์ หรือ จะสั่งแก้ไขชื่อไฟล์, ลบไฟล์ และเคลื่อนย้ายไฟล์ก็ได้เช่นกัน
ความสำคัญของ FTP
โดยปกติเมื่อเราต้องการทำเว็บไซต์ไม่ว่าด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม
สิ่งที่เราจะต้องนึกถึงและขาดไม่ได้คือ Hosting หรือ Server
ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ให้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก
การที่เว็บไซต์ของเราสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
โดยไม่มีหยุดนั้น ก็เพราะ Hosting ไม่เคยปิดนั่นเอง
ส่วนการสร้างเว็บไซต์เกิดจากการเขียน Code โปรแกรม
ไม่ว่าจะเขียนด้วยภาษา HTML , PHP , ASP , ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ต้องนำไฟล์ที่เราเขียนเสร็จเรียบร้อยไปใส่บน Hosting
เพื่อสามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง 365
วัน แต่ด้วยหนทางที่อยู่ไกลกันระหว่างเรากับ Hosting ที่เราขอใช้บริการไว้ เราจึงต้องใช้เทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์
ในการโอนย้ายไฟล์ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา กับ Hosting ซึ่งเทคโนโลยีนั้นคือ FTP นั่นเอง
ข้อมูลอ้างอิง
http://com.d-ja.com
http://th.easyhostdomain.com
http://simplemachines.in.th
http://com.d-ja.com
http://th.easyhostdomain.com
http://simplemachines.in.th
RSS หรือ Rally Simple Syndication เป็นบริการใหม่บนเว็บไซต์ภาษา XML ใช้สำหรับดึงข่าวจากเว็บต่างๆ มาแสดงบนหน้าเว็บเพจ โดยนำมาเฉพาะหัวข้อข่าว เมื่อผู้ใช้คลิกลิงค์ก็จะแสดงรายละเอียดข่าวในเว็บต้นฉบับนั้นๆ โดยที่หัวข้อข่าวจะอัปเดทตามเว็บต้นทาง ซึ่งการดึงหัวข้อข่าวไปแสดงนั้นจะมีส่วนประกอบทั้งหมดสามส่วนคือส่วนผู้ให้บริการดึงข่าว และส่วนผู้สร้างเว็บไซต์ใช้ทั่วไปที่ต้องการดึงข่าวไปแสดง และส่วนผู้ใช้ทั่วไป
e
RSS ช่วยลดข้อจำกัดในการคัดลอกข้อมูลในเว็บไซต์โดยเฉพาะกรณีการละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ผู้สร้างไม่ต้องเสียเวลาทำหน้าเพจแสดงข่าว ซึ่งต้องทำทุกครั้งเมื่อต้องการเพิ่มข่าว โดย RSS จะดึงข่าวมาอัตโนมัติ ทำให้ข้อมูลบนเว็บไซต์เป็นศูนย์กลางมากขึ้น
ปัจจุบัน RSS ถูกนำมาประยุกต์ใช้เป็นรูปแบบกลางในการบริการข้อมูลทางธุรกิจ และมีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการแชร์ข้อมูล เช่นเว็บไซต์ข่าว เว็บล็อก ซึ่งจะมีการแสดงข้อมูลบนหน้าต่างพรีวิวแยกต่างหากเพื่อให้ผู้ใช้ไม่สับสน รวมถึงสามารถสืบค้นข้อมูลได้
จุดเด่นของ RSS คือผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องเข้าไปตามเว็บไซต์ต่างๆเพื่อดูว่ามีข้อมูลอัปเดทใหม่หรือไม่ ขณะที่เว็บไซต์แต่ละแห่งอาจมีระยะความถี่ในการอัปเดทไม่เท่ากัน บางครั้งผู้ใช้ยังอาจหลงลืมจนเข้าไปดูเนื้อหาอัปเดทใหม่บนเว็บไม่ครบถ้วน รูปแบบ RSS จะช่วยให้ผู้สามารถรับข่าวสารอัปเดทใหม่ได้โดยไม่ต้องเข้าไปดูทุกครั้งให้เสียเวลา ได้ประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้บริโภคและฝ่ายเจ้าของเว็บไซต์
http://mantiser.blogspot.com/2012/08/rss-feed.html
Mashup เป็นการผสมผสาน ความสมารถหรือข้อมูล ของเวบใดเวบหนึ่ง
เช่น คุณอยากทำระบบติดตามรถหาย โดยแสดงผลเป็นแผนที่ แต่คุณไม่มีข้อมูลแผนที่เป็นของตัวเอง
จึงต้องไปใช้บริการของ Google maps หรือ Yahoo maps หรือแม้กระทั่ง Bing m aps
การที่คุณดึงเอา "ข้อมูล" แผนที่ มาผสมกับ "ข้อมูล" ของคุณ ลักษณะนี้เรียกว่า Mashup ครับ
3.Mashups คือ
Mashup คืออะไร
เป็นวิธีการหนึ่งในการการสร้าง application ( Rich Application, Web Application ) ด้วยการดึงข้อมูลจากแหล่งที่มา ( Sources : Web Site .. etc. ) หลายๆแหล่ง มารวมกันเพื่อสร้าง application ใหม่ๆ ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น Google Map เป็นต้น ถ้าเปรียบกำหารแต่งเพลง ก็คือการ mix เพลง นั่นเอง ซึ่งจะเรียกว่าการ MashUp
เนื้อหา ( Content ) ที่ใช้งานในการทำ MashUp นั้นจะเรียกใช้ผ่าน Public Interface หรือ API ที่ผู้ให้บริการ ( Provider ) จัดเตรียมไว้ให้ โดย API เหล่านี้จะมีการรับส่งข้อมูลในลักษณะที่เป็น Web Feed เช่น RSS, Atom, Web Services และ Screen Scraping เป็นต้น
Vendor เจ้าใหญ่ๆ ให้ความสนใจในการทำ MashUp อย่างกว้างขวาง เช่น Microsoft, Google, eBay, Amazon, Flickr และ Yahoo โดย vendor เหล่านี้จะเตรียมโปรแกรมช่วยในการทำMashUp ซึ่งเรียกว่า MashUp Editor
MashUp Editor คือ WYSUWYG ของ MashUp นั่นเอง โดยเครื่องมือตัวนี้จะมีหน้าตามเป็น Graphic User Interface ใช้งานง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น
ประเภทของ MashUp
MashUp แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. Consumer MashUp
2. Data MashUp
3. Business MashUp
1.Consumer MashUp
เป็นการรวมข้อมูลจากหลายๆ ที่มารวมกันไว้ แล้วทำซ่อนข้อมูลเหล่านี้ด้วยการแสดงผลแบบ GUI ตั้วอย่างที่เห้นได้ชัดเจนคือ Google Map นั่นเอง
2.Data MashUp หรือ Enterprise MashUp
เป็นการรวมข้อมูลจากหลายๆ ที่มารวมกันไว้ โดยจะไม่มีส่วนแสดงผล เช่น RSS, Atom เป็นต้น ถ้าเป็น website ก็เช่น www.rssthai.com
3.Business MashUp
เป็นการรวมทั้ง Consumer MashUp และ Data MashUp เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นนระบบ business application
เป็นวิธีการหนึ่งในการการสร้าง application ( Rich Application, Web Application ) ด้วยการดึงข้อมูลจากแหล่งที่มา ( Sources : Web Site .. etc. ) หลายๆแหล่ง มารวมกันเพื่อสร้าง application ใหม่ๆ ขึ้นมา ตัวอย่างเช่น Google Map เป็นต้น ถ้าเปรียบกำหารแต่งเพลง ก็คือการ mix เพลง นั่นเอง ซึ่งจะเรียกว่าการ MashUp
เนื้อหา ( Content ) ที่ใช้งานในการทำ MashUp นั้นจะเรียกใช้ผ่าน Public Interface หรือ API ที่ผู้ให้บริการ ( Provider ) จัดเตรียมไว้ให้ โดย API เหล่านี้จะมีการรับส่งข้อมูลในลักษณะที่เป็น Web Feed เช่น RSS, Atom, Web Services และ Screen Scraping เป็นต้น
Vendor เจ้าใหญ่ๆ ให้ความสนใจในการทำ MashUp อย่างกว้างขวาง เช่น Microsoft, Google, eBay, Amazon, Flickr และ Yahoo โดย vendor เหล่านี้จะเตรียมโปรแกรมช่วยในการทำMashUp ซึ่งเรียกว่า MashUp Editor
MashUp Editor คือ WYSUWYG ของ MashUp นั่นเอง โดยเครื่องมือตัวนี้จะมีหน้าตามเป็น Graphic User Interface ใช้งานง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น
ประเภทของ MashUp
MashUp แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. Consumer MashUp
2. Data MashUp
3. Business MashUp
1.Consumer MashUp
เป็นการรวมข้อมูลจากหลายๆ ที่มารวมกันไว้ แล้วทำซ่อนข้อมูลเหล่านี้ด้วยการแสดงผลแบบ GUI ตั้วอย่างที่เห้นได้ชัดเจนคือ Google Map นั่นเอง
2.Data MashUp หรือ Enterprise MashUp
เป็นการรวมข้อมูลจากหลายๆ ที่มารวมกันไว้ โดยจะไม่มีส่วนแสดงผล เช่น RSS, Atom เป็นต้น ถ้าเป็น website ก็เช่น www.rssthai.com
3.Business MashUp
เป็นการรวมทั้ง Consumer MashUp และ Data MashUp เข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ใช้งานใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้นนระบบ business application
เมื่อผมลองค้นหาใน internet ก็ได้พอกับ Software ทั้งฟรีและเสียเงิน ซึ่งจะเป็นระบบ MashUp ที่รวม content จากที่ต่างๆ มาเก็บไว้เพื่อเตรียมให้บริการ เช่น
http://openkapow.com
http://www.kapowtech.com
อ้างอิง http://en.wikipedia......ation_hybrid)
http://www.programmableweb.com
http://openkapow.com
http://www.kapowtech.com
อ้างอิง http://en.wikipedia......ation_hybrid)
http://www.programmableweb.com
4.Widgels คือ
Widget (วิดเจ็ต) คือ Application เหมือนกับ App ตัวอื่น ๆ ที่คุณสามารถ Download ได้จาก Google Play ผู้ผลิต App บางรายนอกจากจะสร้าง App ขึ้นมาแล้ว ก็จะสร้างวิดเจ็ตให้กับ App นั้น ๆ ด้วย หากคุณเคยสังเกต Smartphone ของคุณ จะเห็นว่ามีหน้าแรกซึ่งวางไอค่อนของ App ต่าง ๆ และมีส่วนที่ไม่ใช่ไอค่อน เช่น ส่วนที่เป็นการค้นหาของ Google จะไม่เป็นรูปปุ่มเหมือนกับไอค่อนทั่ว ๆ ไป แต่จะเป็นแถบค้นหาเพื่อให้คุณสามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการค้นหาได้ทันทีโดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ หรือ App ที่ใช้สำหรับพยากรณ์อากาศ คุณก็จะมองเห็นกราฟฟิกส์ที่สวยงามไม่ว่าจะเป็นรูปก้อนเมฆ รูปดวงอาทิตย์ รูปดวงจันทร์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิดเจ็ดทั้งสิ้น
การ Download Widget มาใช้งาน เหมือนกับการ Download App ทั่วๆ ไป เมื่อ Download เสร็จเรียบร้อยคุณจะมองเห็น Widget ปรากฏอยู่ในส่วนของหน้าแรกบน Smartphone ของคุณ นอกจากจะทำให้ Smartphone ของคุณมีความสวยงามเพิ่มมากขึ้นแล้ว คุณยังสามารถใช้งาน App นั้น ๆ ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องไปกดปุ่มไอค่อนเพื่อเปิดใช้งาน App อีกด้วย
อ้างอิง http://drippler.com/updates/share/40-minimalist-and-customisable-widgets
5.Gadgets คือ
แก็ดเจ็ต มีความหมายว่า อุปกรณ์ คำ คำนี้เริ่มเป็นที่รู้จักกันไม่นานนี่เอง จะนำมาใช้ในรูปแบบของโปรแกรมเสริม เล็กๆน้อยๆ เช่น นาฬิกาบนwindows 7 โปรแกรมเสริมการรายงานข่าว และเริ่มมีการใช้กับอุปกรณ์ที่ทันสมัย เช่น สิ่งประดิษฐ์ด้านเทคโนโลยีที่มันสมัย และมีขนาด ทั้งด้านความจุหรือปริมาณไม่มาก (ขนาดเล็ก) ส่วนใหญ่จะเน้น ด้านความบันเทิง ความสนุก ความสะดวก เราคงจะพอทราบความหมายของคำว่า Gadget กันบ้างแล้วใช้ไหม สรุปก็คือ สิ่งประดิษฐ์ ขนาดเล็กๆ ในดานเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรม หรืออุปกรณ์ ก็สามารถเรียกว่า Gadget ได้เหมือนกัน แต่จะเป็นประเภทไหนแค่นั้นเอง
Gadget คือ เทคโนโลยีขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะเป็นโปรแกรมหรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีใช้งานกันอยู่ในหลาย ๆ ด้าน ส่วนใหญ่จะเป็นด้านความบันเทิง หรือเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ตัวอย่างเช่น ในหน้าจอของ Window Vista นักเรียน คงจะเคยเห็นนาฬิกา ปฏิทิน หรือโน้ต ที่ไว้แปะเตือนความจำบน Desktop เหล่านี้ล่ะค่ะเป็นตัวอย่างของสิ่งที่ถูกเรียกว่า Gadget
Microsoft ได้แบ่ง Gadget ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. Web gadgets คือ โปรแกรมที่ทำงานบนเว็บไซต์ เช่น Live.com หรือ Spaces.Live.com
2. Sidebar gadgets คือ โปรแกรมที่ทำงานบน Desktop หรือที่วางอยู่ด้านข้างของ Window (Windows Sidebar)
3. SideShow gadgets คือ อุปกรณ์ที่ทำงานแสดงผลรูปแบบต่างๆ ได้ เช่น ฝาด้านนอกของ Laptop หรือ panel บนคีย์บอร์ดและมือถือ
สรุปว่า Gadget คือสิ่งประดิษฐ์ของเทคโนโลยีขนาดเล็ก ซึ่งอาจจะเป็นโปรแกรม อุปกรณ์ หรือแม้แต่ของเล่นที่มีการใส่ความทันสมัยเข้าไปเพื่อมอบความบันเทิงให้กับผู้ใช้นั่นเอง คราวนี้ถ้าน้อง ๆ ได้ยินคนอื่นพูดถึง Gadget รับรองได้ว่าเข้าใจและไม่ตกยุคแล้วค่ะ
Widget (วิจิท) คือ ชุดคำสั่งโปรแกรมขนาดเล็ก หรือโปรแกรมสำหรับการควบคุมในการทำงานที่สร้างจากโปรแกรมแฟลช หรือจาวาสคริปต์ ช่วยรองรับการทำงานของอินเตอร์เฟสกับแอพพลิเคชั่นหรือระบบปฏิบัติการ Widget ที่พบกันบ่อยๆ เช่น ปุ่ม ไอคอน และแถบเมนู Widget ถูกนำไปติดไว้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ หน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมถึง บล็อค และมือถือด้วย
อย่างล่าสุด ที่ทีดับบลิวแซด ได้ออกมือถือรุ่นใหม่ TWZ-TD8 ที่มีฟังก์ชั่น Widget นี้อยู่ด้วย หากสงสัยว่า เจ้า Widget นี้ทำงานอย่างไรบนมือถือ ลองมาดูกันคะ
ในวงการโทรศัพท์มือถือ Widget ถือเป็นน้องใหม่ ที่เพิ่มสีสันและลูกเล่นในการใช้งานมือถือมากขึ้นโทรศัพท์มือถือโดยทั่วไป ผู้ใช้ต้องทำการเลือก Widget ที่ตัวเองต้องการและสมัครสมาชิกบนเว็บ จากนั้นโหลดโปรแกรมของผู้ให้บริการ Mobile Widget ลงเครื่อง และล็อกอินถึงจะใช้งาน Widget ที่ตัวเองเลือกไว้ได้
แต่สำหรับ TWZ-TD8 ถูกผลิตขึ้นพร้อมซอฟแวร์ตัว Widget ในตัว เพียงคุณเลือกเมนูที่ต้องการแล้วลากออกมาจากแถบเมนู แค่นี้คุณก็สามารถใช้งานได้แล้ว ทั้งง่ายและสะดวกใช่ไหมคะ
6.Artificial intelligence คือ
Artificial Intelligence หรือปัญญาประดิษฐ์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถคล้ายมนุษย์หรือเลียนแบบพฤติกรรมมนุษย์ โดยเฉพาะความสามารถในการคิดเองได้ หรือมีปัญญานั่นเอง ปัญญานี้มนุษย์เป็นผู้สร้างให้คอมพิวเตอร์ จึงเรียกว่าปัญญาประดิษฐ์ มุมมองต่อ AI ที่แต่ละคนมีอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการความฉลาดโดย คำนึงถึงพฤติกรรมที่มีต่อสิ่งแวดล้อมหรือคำนึงการคิดได้ของผลผลิต AI ดังนั้นจึงมีคำนิยาม AI ตามความสามารถที่มนุษย์ต้องการให้มันแบ่งได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
Acting Humanly : การกระทำคล้ายมนุษย์ เช่น
- สื่อสารกับมนุษย์ได้ด้วยภาษาที่มนุษย์ใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (natural language processing) อย่างหนึ่ง เช่น เพื่อน ๆ ใช้เสียงสั่งให้คอมพิวเตอร์พิมพ์เอกสารให้
- มีประสาทรับสัมผัสคล้ายมนุษย์ เช่นคอมพิวเตอร์วิทัศน์ (computer vision) คอมพิวเตอร์มองเห็น รับภาพได้โดยใช้อุปกรณ์รับสัญญาณภาพ (sensor)
- หุ่นยนต์ช่วยงานต่าง ๆ เช่น ดูดฝุ่น เคลื่อนย้ายสิ่งของ
- machine learning หรือคอมพิวเตอร์เกิดการเรียนรู้ได้ โดยสามาถตรวจจับรูปแบบการเกิดของเหตุการณ์ใด ๆ แล้วปรับตัวสู่สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้
Thinking Humanly : การคิดคล้ายมนุษย์ ก่อนที่จะทำให้เครื่องคิดอย่างมนุษย์ได้ ต้องรู้ก่อนว่ามนุษย์มีกระบวนการคิดอย่างไร ซึ่งการวิเคราะห์ลักษณะการคิดของมนุษย์เป็นศาสตร์ด้าน cognitive science เช่น ศึกษาโครงสร้างสามมิติของเซลล์สมอง การแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมอง วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเคมีไฟฟ้าในร่างกายระหว่างการคิด ซึ่งจนถึงปัจจุบันเราก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่า มนุษย์เรา คิดได้อย่างไร
Thinking rationally : คิดอย่างมีเหตุผล หรือคิดถูกต้อง โดยใช้หลักตรรกศาสตร์ในการคิดหาคำตอบอย่างมีเหตุผล เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ
Acting rationally : กระทำอย่างมีเหตุผล เช่น agent (agent เป็นโปรแกรมที่มีความสามารถในการกระทำ หรือเป็นตัวแทนในระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ) สามารถกระทำอย่างมีเหตุผลคือ agent ที่กระทำการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ เช่น agent ในระบบขับรถอัตโนมัติที่มีเป้าหมายว่าต้องไปถึงเป้าหมายในระยะทางที่สั้นที่สุด ต้องเลือกเส้นทางที่ไปยังเป้าหมายที่สั้นที่สุดที่เป็นไปได้จึงจะเรียกได้ว่า agent กระทำอย่างมีเหตุผล อีกตัวอย่างเช่น agent ในเกมหมากรุกมีเป้าหมายว่าต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ ต้องเลือกเดินหมากที่จะทำให้คู่ต่อสู้แพ้ให้ได้ เป็นต้น
อ้างอิงhttp://www.us-cert.gov/cas/tips/ST04-014.html
7.Phishing คือ
Phishing คือคำที่ใช้เรียกเทคนิคการหลอกลวงโดยใช้อีเมลหรือหน้าเว็บไซต์ปลอมเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล เช่น ชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือสร้างความเสียหายในด้านอื่น ๆ เช่น ด้านการเงิน เป็นต้น ในบทความนี้จะเน้นในเรื่องของ Phishing ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อหลอกลวงทางการเงิน เนื่องจากจะทำให้ผู้อ่านมองเห็นผลกระทบได้ง่าย
คำว่า Phishing เป็นคำพ้องเสียงจากคำว่า Fishing ซึ่งหมายถึงการตกปลา หากจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ผู้อ่านสามารถจินตนาการได้ว่า เหยื่อล่อที่ใช้ในการตกปลา ก็คือกลวิธีที่ผู้โจมตีใช้ในการหลอกลวงผู้เสียหาย ซึ่งเหยื่อล่อที่เด่น ๆ ในการหลอกลวงแบบ Phishing มักจะเป็นการปลอมอีเมล หรือปลอมหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อความซึ่งทำให้ผู้เสียหายอ่านแล้วหลงเชื่อ เช่น ปลอมอีเมลว่าอีเมลฉบับนั้นถูกส่งออกมาจากธนาคารที่ผู้เสียหายใช้บริการอยู่ โดยเนื้อความในอีเมลแจ้งว่า ขณะนี้ธนาคารมีการปรับเปลี่ยนระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลลูกค้า และธนาคารต้องการให้ลูกค้าเข้าไปยืนยันความถูกต้องของข้อมูลส่วนบุคคลผ่านทางลิงก์ที่แนบมาในอีเมล เป็นต้น เมื่อผู้เสียหายคลิกที่ลิงก์ดังกล่าว ก็จะพบกับหน้าเว็บไซต์ปลอมของธนาคารซึ่งผู้โจมตีได้เตรียมไว้ เมื่อผู้เสียหายเข้าไปล็อกอิน ผู้โจมตีก็จะได้ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านของผู้เสียหายไปในทันที ในหลาย ๆ ครั้งการหลอกลวงแบบ Phishing จะอาศัยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดในช่วงเวลานั้น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสของการหลอกลวงสำเร็จ เช่น อาศัยช่วงเวลาที่มีภัยธรรมชาติหรือโรคระบาด โดยปลอมเป็นอีเมลจากธนาคารเพื่อขอรับบริจาค เป็นต้น
หน้าเว็บไซต์ปลอมบางหน้าจะใช้วิธีการที่แยบยลนั่นคือการฝังโทรจันที่สามารถขโมยข้อมูลที่ต้องการมากับหน้าเว็บไซต์ปลอมนั้นด้วย เช่น โทรจันที่ทำหน้าที่เป็น Key-logger ซึ่งจะคอยติดตามว่าผู้เสียหายพิมพ์คีย์บอร์ดอะไรบ้าง เป็นต้น เมื่อผู้เสียหายหลงกล กดลิงก์ตามเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ปลอมก็จะติดโทรจันชนิดนี้ไปโดยอัตโนมัติ และหากผู้เสียหายทำการล็อกอินเข้าใช้งานระบบใด ๆ ข้อมูลชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่าน ของระบบนั้นก็จะถูกส่งไปยังผู้ไม่ประสงค์ดี
อ้างอิงhttp://www.thaicert.or.th/statistics2011.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น